26 ต.ค. 2553

อิสลามคืออะไร

โดยทางภาษา คำว่า "อิสลาม" มาจากรากคำภาษาอาหรับว่า "สะลิม่ะ" ซึ่งแปลว่า "เขานอบน้อมยอมจำนน เขาเข้าสู่ความสันติสุขเขาปลอดภัย" ดังนั้น อิสลามจึงมีความหมายว่า "การเข้าสู่ความสันติสุขหรือความสงบ" ซึ่งจะเป็นไปได้ก็โดยการยอมจำนนต่อเจตนารมณ์หรือพระประสงค์ของอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว

ความเป็นมาของอิสลาม
อิสลามเริ่มต้นจากความจริงที่ว่าอัลลอฮฺซึ่งเป็นพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตขึ้นมา และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงทอดทิ้งให้สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาอยู่กันอย่างไร้ระเบียบ หากแต่พระองค์ได้ทรงจัดทุกสรรพสิ่งไว้ให้สมบูรณ์ ทรงวางกฏระเบียบและทรงนำทางให้แก่ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา

ดังนั้น เราจะเห็นว่าทุกสรรพสิ่งตั้งแต่เทหวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในท้องฟ้าอย่างเช่นระบบสุริยจักรวาลจึงโคจรอยู่ในท้องฟ้าอย่างเป็นระเบียบและเป็นระบบ มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างสันติ ปราศจากความสับสนอลหม่าน หรือแม้แต่ระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของมนุษย์ก็ถูกสร้างและถูกกำหนดให้ทำงานสัมพันธ์กันเพื่อรับใช้ชีวิตมนุษย์ให้ดำรงอยู่โดยที่มนุษย์ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขกฏการทำงานของอวัยวะต่างๆ เหล่านั้นได้เลยแม้แต่น้อย และหากมนุษย์ฝ่าฝืนกฏของอวัยวะในร่างกายเขาเมื่อใด มนุษย์ก็จะไม่พบกับความสุขกายสบายใจและอาจเป็นอันตรายจนถึงตายในที่สุดก็ได้

เราจะเห็นได้ว่าการที่ทุกสรรพสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างมาอยู่กันอย่างสันติได้นั้นก็เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายยอมจำนนต่อกฏระเบียบที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้โดยไม่มีสิ่งใดฝ่าฝืนกฏของพระองค์ ความสันติที่เกิดจากการยอมจำนนต่อกฏของพระเจ้านี่เองคือความหมายของคำว่า
อิสลาม และกฏระเบียบที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้แก่ทุกสรรพสิ่งนั้นก็คือกฏของอัลลอฮฺซึ่งมนุษย์ทั่วไปเรียกกันว่า "ธรรมชาติ" นั่นเอง

สำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อัลลอฮฺสร้างมาให้มีความประเสริฐเหนือกสิ่งถูกสร้างอื่นใดนั้น อัลลอฮฺทรงรู้ดีว่านอกจากอาหาร สำหรับการดำรงชีวิตแล้ว มนุษย์ยังมีความต้องการสิ่งต่าง ๆ สำหรับการดำเนินชีวิต ดังที่กล่าวมาในตอนต้น ดังนั้น พระองค์จึงได้ประทานอิสลามมาให้แก่มนุษย์โดยเริ่มตั้งแต่มีมนุษย์คนแรกบนโลก นั่นคืออาดัมและทยอยประทานเรื่อยมาโดยผ่านทางท่านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์โดยใช้เวลาทั้งหมด23 ปี

***** ในการประทานอิสลามให้แก่มนุษย์นั้น พระองค์มิได้ทรงบังคับมนุษย์ให้ต้องรับอิสลาม เพราะพระองค์ได้ประทานสติปัญญาอันเป็นที่มาของเจตนารมณ์เสรีให้แก่มนุษย์แล้ว มนุษย์จะเลือกรับอิสลามหรือจะปฏิเสธก็ได้ คนใดที่เชื่อในพระองค์และยอมปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า มุสลิม ใครที่ไม่เชื่อว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าและไม่ยอมปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์
เขาก็ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ปฏิเสธ (กาฟิรฺ)

ดังนั้น หากเราพิจารณาให้ดีถึงสิ่งที่กล่าวมา เราจะเห็นว่าชีวิตของมนุษย์ในส่วนที่เป็นอวัยวะของร่างกายนั้นล้วนอยู่ในอิสลามแล้วทั้งสิ้น เพราะอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของมนุษย์นั้นทำงานไปตามกฏเกณฑ์ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ จะเหลือก็แต่สติปัญญาและจิตใจของเขาเท่านั้นที่จะยอมรับเอากฏเกณฑ์และคำบัญชาของพระองค์มาปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้านตั้งแต่ลืมตาจนถึงหลับตาหรือไม่เท่านั้น

นี่คือสิ่งที่มนุษย์จะต้องตัดสินใจ เพราะในไม่ช้ามนุษย์ทุกคนจะต้องกลับไปหาพระองค์พร้อมกับความรับผิดชอบอย่างแน่นอน

มีอะไรในอิสลาม ?

ในอิสลาม มนุษย์จะได้พบคำตอบอย่างสมบูรณ์ว่าตัวของเขาคือใคร เขามาจากไหน เขามีฐานะอย่างไรในโลกนี้ ใครเป็นคนสร้างเขามา และ เขามายังโลกนี้ทำไม เมื่อตายแล้วเขาจะไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรและเขาจะได้รับผลตอบแทนอย่างไรในสิ่งที่เขาทำไว้หลังจากที่เขาได้ตายลง ซึ่งเรื่องเหล่านี้วิทยาศาสตร์และลัทธิความเชื่อต่าง ๆ ไม่อาจที่จะให้คำตอบได้ชัดเจน

ในอิสลาม มนุษย์จะได้รู้ว่าในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เขาควรจะมีความเชื่ออย่างไร เขาควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร จะปฏิบัติตัวอย่างไรต่อพ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง คนใช้ เพื่อนบ้าน เด็ก และ ผู้ใหญ่ สัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาทั้งในยามสงบและในยามสงคราม

ในอิสลาม มนุษย์จะได้พบวัฒนธรรม ศีลธรรม จรรยามารยาทที่เป็นมาตรฐานอันเดียวกัน ไม่ว่าคนมุสลิมผู้นั้นจะมาจากเผ่าพันธุ์สีผิวหรือพูดภาษาใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น การกล่าวสลามในการทักทายการกล่าวนามของอัลลอฮฺก่อนกินอาหารและการทำกิจการต่าง ๆ การห้ามดื่มสุราก็เป็น
ก็เป็นข้อห้ามที่เด็ดขาด โดยไม่มีการยกเว้นอนุญาติให้ดื่มในบางโอกาส เป็นต้น

ในอิสลาม มนุษย์จะรู้ว่าเขาควรจะแต่งงานกับใครและใครบ้างที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานด้วย การแต่งงานของเขาควรจะเป็นอย่างไร เมื่อมีปัญหาที่จะต้องหย่าร้างเขาควรจะทำอย่างไรจึงจะเกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการตาย เขาควรจะจัดการกับศพ และ ทรัพย์สินของคนตายอย่างไร และ อื่น ๆ

ในอิสลาม มนุษย์จะเห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้ว มุสลิมทุกคนมีความเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมาจากชนชั้นหรือสีผิวใด เขาจะได้พบว่ามุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต่อพระเจ้าอย่างเท่าเทียมกันและหน้าที่ดังกล่าวนี้ก็มิได้เป็นของชนชั้นหนึ่งชั้นใดและหากเขาต้องการที่จะมีความใกล้ชิดหรือติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าเขาก็สามารถติดต่อกับพระองค์ได้โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยนักบวชทำหน้าที่เป็นนายหน้าติดต่อให้

และที่สำคัญที่สุดคือ ในอิสลาม มนุษย์จะได้พบกับอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและผู้ทรงสร้างเขา ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพอันมากมายมหาศาลให้แก่เขาในยามที่เขาต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ผู้ทรงให้หลักประกันในการตอบแทนความดีที่เขาปฏิบัติถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นก็ตามและทำให้เขาไม่รู้สึกท้อแท้ในการที่จะทำความดีต่อไป

ในอิสลาม มนุษย์จะได้พบวิทยาการแขนงต่าง ๆ ซึ่งถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานเมื่อประมาณ 1400 ปีก่อน แต่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติมาเมื่อไม่ถึง 100 ปีนี่เอง และถึงแม้ในปัจจุบัน วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากแค่ไหนก็ตาม ในคัมภีร์กุรอานก็ยังมีสิ่งที่ท้าทายสติปัญญาให้มนุษย์ได้ขบคิดและค้นคว้าต่อไปอย่างไม่จบสิ้น

ข้อมูลจาก http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=395.0