
โดย : บรรจง บินกาซัน
เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ครับสำหรับมนุษย์ เพราะการกินเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจ ถ้ามนุษย์ต้องการกินสิ่งใด มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งนั้นขึ้นมาตอบสนอง ถ้ามนุษย์รู้จักกินของดีและมีประโยชน์มนุษย์ก็จะผลิตแต่ของดีและมีประโยชน์ต่อมนุษย์เอง แต่ถ้าไม่รู้จักกิน มนุษย์ก็จะกินทุกอย่างแม้กระทั่งเนื้อหมาและกินเลือดกินเนื้อของมนุษย์ด้วยกันเอง
กรอบการกินไว้สำหรับมนุษย์มานานนับตั้งแต่โลกนี้ยังไม่มีกฎหมายและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้มิใช่เพื่ออะไรหรือเพื่อใครหรอกครับแต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์นั่นเอง คงปฏิเสธกันไม่ได้นะครับว่าแม้แต่คำสอนของพุทธศาสนาเองก็ห้ามดื่มสุราเหมือนกับคำสอนของศาสดาคนอื่นๆ
คัมภีร์ไบเบิลเองก็มีข้อจำกัดเรื่องอาหารมากกว่าคำสอนของพุทธศาสนาเพราะนอกจากจะห้ามสิ่งมึนเมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลยังห้ามกินเนื้อหมูและเนื้อสัตว์อื่นๆอีกบางชนิดด้วย ดังนั้นถ้าคนคริสเตียนเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลจริงๆก็จะต้องไม่กินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน
แต่ที่แน่ๆก็คือชาวยิวที่ยึดถือคัมภีร์โตราห์(หรือพันธสัญญาเดิม)จะไม่กินเนื้อหมูและอาหารบางประเภทที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ของตนด้วยเช่นกัน ชาวยิวจะมีกฎหมายกำหนดว่าอะไรที่กินได้และอะไรที่ศาสนาไม่อนุมัติให้กินเป็นของตนเองโดยเฉพาะ สิ่งที่ศาสนาของชาวยิวอนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “โคเชอร์” ส่วนอาหารที่ศาสนาของชาวยิวไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “เทรฟาห์”(สิ่งต้องห้าม) เช่น เลือด เนื้อหมู กระต่าย สัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก นกป่า เป็ดป่า และนกล่าเนื้อ เป็นต้น (ดูพันธสัญญาเก่า ฉบับอพยพ 22:31) ดังนั้นถ้าประเทศไหนจะผลิตสินค้าไปขายที่อิสราเอลหรือขายให้แก่คนยิวก็จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะชาวยิวก็เป็นคนที่เคร่งครัดในเรื่องของอาหารการกินเป็นอย่างมาก
ที่กล่าวมานั้นเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์นั้นมีกรอบในการกินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วและเรื่องการกินก็เป็นสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรเหมือนอย่างที่ใครๆพูดกันว่า “ยูอาร์ว็อทยูอีท” หรือ “คุณเป็นอย่างที่คุณกิน” ถ้ามนุษย์กินทุกอย่างที่ขวางหน้า มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากหมู ชาวยิวรักษาความเป็นยิวไว้ได้ก็เพราะชาวยิวมีอาหารการกินเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ดังนั้น ถ้าใครจะถามชาวยิวว่าทำไมจึงไม่กินนั่นไม่กินนี่ คำตอบที่จะได้ก็คือมันเป็นคำสั่งทางศาสนาที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามครับ
คนมุสลิมก็มีกฎเกี่ยวกับอาหารเช่นเดียวกับชาวคัมภีร์รุ่นก่อนๆ สิ่งที่ศาสนาอิสลามอนุมัติให้มุสลิมกินได้นั้นเรียกว่า “ฮาลาล” ส่วนสิ่งต้องห้ามนั้นเรียกว่า “ฮะรอม” แต่กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับเรื่อง “ฮาลาล” และ “ฮะรอม” นั้นจะละเอียดและกว้างขวางครอบคลุมพฤติกรรมอื่นๆของมนุษย์ในทุกๆด้านนอกเหนือไปจากเรื่องอาหารการกินด้วย อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมุสลิมนั้นขึ้นอยู่กับการกินและการทำสิ่งที่ “ฮาลาล” และละเว้นจากสิ่งที่ “ฮะรอม” นั่นเอง
หากใครถามว่าใครเป็นผู้กำหนดว่าอะไรเป็นสิ่ง “ฮาลาล” และอะไรเป็นสิ่ง “ฮะรอม” ? คำตอบก็คือพระเจ้าครับ และหลักการอิสลามก็ห้ามมนุษย์ไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ใครถืออำนาจบาตรใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงก็หมายความว่าคนนั้นกำลังตั้งตัวเป็นพระเจ้าแข่งกับพระองค์ นรกกินกบาลตราบกาลนานครับ ตัวอย่างชัดๆที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือพระเจ้าสั่งห้ามดอกเบี้ย มนุษย์ดันไปฝ่าฝืน ความวิบัติฉิบหายจึงเกิดขึ้นให้เราเห็นดังทุกวันนี้
อะไรบ้างที่เป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม ?
1) เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เยลละตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)
2) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ถือเป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม
3) เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ
4) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ
5) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิตและชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน หากไม่กล่าวนามพระเจ้าก็แสดงว่าไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของชีวิตสัตว์และขโมยทรัพย์สินของพระองค์ นอกจากนั้นแล้วคนที่จะกล่าวนามพระเจ้าในตอนเชือดสัตว์นั้นก็ต้องเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาในพระองค์ด้วย มิเช่นนั้นแล้ว เนื้อของสัตว์นั้นก็เป็นที่ต้องห้าม ชาวยิวสมัยก่อนก็เชือดสัตว์โดยกล่าวนามพระเจ้าด้วยเช่นกัน แต่ในปัจจุบันนี้ชาวยิวไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้แล้ว เนื้อของสัตว์ที่ชาวยิวเชือดซึ่งมุสลิมเคยได้รับการอนุมัติให้กินได้ในสมัยอิสลามยุคต้นจึงไม่เป็นที่ปลอดภัยสำหรับมุสลิมในปัจจุบัน แต่ชาวยิวจะสามารถกินเนื้อที่มุสลิมเชือดได้อย่างปลอดภัย
6) อาหารใดๆก็ตามที่นำไปเซ่นสรวงผีสางเทวดาหรือนำไปถวายเจ้าอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากคนมุสลิมศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว อาหารใดก็ตามที่นำไปถวายเจ้าอื่นแล้วถือว่าเป็นอาหารเหลือเดนที่อิสลามห้ามมุสลิมนำมากินหรือนำมาใช้
7) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่นๆ เนื้อของสัตว์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และการล่าสัตว์เหล่านี้มาเป็นอาหารก็เป็นการทำลายดุลย์ทางนิเวศวิทยาด้วย
8) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรานั้น อิสลามถือว่าเป็น “แม่ของความชั่ว” ที่จะออกลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ส่วนยิวถือว่าเหล้าองุ่นทุกอย่างเป็น “โคเชอร์”
เราจะเห็นได้ว่าอาหารต้องห้ามดังกล่าวมาทุกอย่างนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดกับมนุษย์เลย ไม่กินสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ตายและถ้ากินเข้าไปก็มีแต่จะเกิดโทษกับตัวเอง คนมุสลิมนั้นเคร่งครัดในเรื่องของการกินไม่แพ้คนยิวครับ แต่คนมุสลิมมีจำนวนถึงหนึ่งในสี่ของประชากรทั่วโลกเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีอำนาจการซื้อสูงโดยเฉพาะในโลกอาหรับ หากรัฐบาลไทยจะส่งผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารไปขายในโลกมุสลิมก็จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้และรักษาความเชื่อมั่นในมาตรฐานฮาลาลเอาไว้ให้ได้ตลอดไป เพราะคนมุสลิมนั้น ถ้ามีความเชื่อมั่นใครแล้วก็จะเชื่อมั่นตลอดไปแต่ถ้าหมดความเชื่อมั่นเมื่อใดก็ยากที่คนผู้นั้นจะกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา
ฝากไว้เป็นข้อคิดสักนิดหนึ่งครับสำหรับผู้อ่าน เมื่อเวลาเราไปซื้อรถยนตร์มาคันหนึ่งพร้อมๆกับรถยนตร์นั้นก็จะมีคู่มือใช้รถติดมาด้วย ในคู่มือใช้รถจะระบุไว้ด้วยว่ารถยนตร์คันนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเบนซิน ถ้าเราไปเอาน้ำมันเครื่องบินหรือน้ำมันขี้โล้มาใช้แทน ไม่ช้าเครื่องยนตร์ก็พังครับเพราะเราไปใช้น้ำมันผิดสเป็คที่วิศวกรผู้สร้างรถยนตร์กำหนดไว้ ส่วนร่างกายของมนุษย์นั้น มนุษย์ไม่ได้ทำเอง พระเจ้าออกแบบและสร้างมา พระองค์ย่อมรู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมสำหรับตัวถังมนุษย์และพระองค์ก็บอกไว้ในคัมภีร์ซึ่งเป็นคู่มือการใช้ชีวิตสำหรับมนุษย์ใครที่เชื่อในพระเจ้าก็ใช้ชีวิตไปตามคู่มือนั้น อาจมีบางคนกินสิ่งต้องห้ามเข้าไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตทันตาเห็น แต่สิ่งที่แน่ๆก็คือ เมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนเรื่องการกิน มนุษย์ก็สามารถฝ่าฝืนพระเจ้าในเรื่องอื่นๆได้ และเมื่อมนุษย์ต่างคนต่างฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า ผลที่ตามมาก็ย่อมจะไม่แตกต่างอะไรไปจากการที่มนุษย์ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองหรือดวงดาวฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของจัรกวาล นั่นคือ ความหายนะนั่นเอง
ที่มาของข้อมูล http://www.timawing.org/index.php?option=com_content&task=view&id=18&Itemid=33